Deep Work คืออะไร? เทคนิคการทำงานลึกเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุด

Deep Work คือการทำงานที่ต้องอาศัยสมาธิอย่างลึกซึ้งในสภาพแวดล้อมที่ไม่มีสิ่งรบกวน เพื่อสร้างผลงานที่มีคุณภาพสูงและพัฒนาทักษะที่ซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ตรงข้ามกับ Shallow Work ที่สามารถทำได้แม้มีสิ่งรบกวน และไม่ต้องใช้ความสามารถในการคิดขั้นสูง เช่น การตอบแชท ประชุมทั่วไป หรือการจัดเรียงเอกสาร
ประโยชน์ของ Deep Work
- เพิ่มประสิทธิภาพ: สมองไม่ถูกขัดจังหวะ ทำงานได้เร็วและแม่นยำ
- พัฒนาทักษะ: การโฟกัสแบบต่อเนื่องช่วยฝึกสมองและเพิ่มความชำนาญในงานเฉพาะด้าน
- ลดความเครียด: เมื่อโฟกัสกับสิ่งสำคัญ งานเสร็จเร็วและรู้สึกควบคุมได้มากขึ้น
Shallow Work คืออะไร?
งานที่ไม่ต้องใช้สมาธิมาก สามารถทำพร้อมกันหลายอย่าง หรือทำแม้มีสิ่งรบกวน เช่น:
- เช็กอีเมล
- ไถโซเชียล
- ประชุมแบบไม่มีกลยุทธ์
- งานที่ไม่ใช้ทักษะเฉพาะ
แม้งานประเภทนี้จะจำเป็น แต่ไม่ควรเป็นกิจกรรมหลักในแต่ละวัน
เทคนิคการสร้าง Deep Work
- กันเวลาเฉพาะสำหรับ Deep Work: อย่างน้อย 90 นาที/วัน ในเวลาที่คุณมีพลังสูงสุด เช่น ช่วงเช้า
- แยกประเภทงาน: Deep Work ทำก่อน — Shallow Work เก็บไว้ทีหลัง
- ลดสิ่งรบกวน: ปิดโทรศัพท์ ปิดโซเชียล อยู่ในพื้นที่เงียบ หรือใส่หูฟัง
- ห้าม Multi-tasking: ทำทีละอย่างเท่านั้น สมองจะไม่สับสนและไม่เหนื่อยล้า
- ตั้งเป้าหมายล่วงหน้า: ก่อนเริ่มงาน ให้ลำดับว่าวันนี้ต้องทำอะไรบ้าง เพื่อลดเวลาคิดระหว่างทาง
ผลเสียของ Multi-tasking
งานวิจัยแสดงว่า การ Multi-tasking ลดประสิทธิภาพการทำงานโดยรวมได้ถึง 40% เพราะสมองต้องเสียพลังงานในการสลับจุดโฟกัสซ้ำ ๆ และอาจทำให้เกิดความเครียดสะสม
สร้างนิสัย Deep Work
- เริ่มต้นวันด้วย Deep Work ก่อน
- กำหนดเวลาเป็นกิจวัตร เช่น 9:00–10:30 ทุกวัน
- บันทึกผลลัพธ์ เพื่อวัดความคืบหน้าและปรับปรุง
สรุป
Deep Work คือเครื่องมือสำคัญของการทำงานยุคใหม่ ที่ต้องการผลลัพธ์เชิงลึกและความสามารถเฉพาะตัว การจัดสภาพแวดล้อม เวลา และนิสัยให้เอื้อต่อ Deep Work จะทำให้คุณมีผลงานที่ดีขึ้น พัฒนาตนเองได้เร็วขึ้น และลดความเครียดจากงานที่ไม่เป็นระบบ
บทความนี้จัดทำขึ้นภายใต้กิจกรรม Knowledge Sharing โดยบริษัท ยีราฟ จำกัด เพื่อสนับสนุนการพัฒนาทักษะการทำงานของบุคลากรในยุคข้อมูลหนาแน่นและสมาธิขาดแคลน