Get In Touch
3803 QiSS Mall, Floor 2 Room A2-201,
Rama IV Rd., Prakanong, Klongtoey,
Bangkok 10110 Thailand
yeeraf.co.th
EN: 080-089-0454 / TH: 097-2312-444
Work Inquiries
[email protected]
EN: 080-089-0454 / TH: 097-2312-444
Back

เลือกอะไรดีในปี 2025 เมื่อธุรกิจออนไลน์ต้องเทียบ WordPress vs Shopify ตัวไหนใช่สำหรับคุณ

การเลือกแพลตฟอร์มสร้างเว็บไซต์ในปี 2025 กลายเป็นประเด็นสำคัญที่นักการตลาดและเจ้าของกิจการต้องให้ความสนใจ โดยเฉพาะเมื่อต้องตัดสินใจระหว่าง WordPress กับ Shopify ซึ่งในปีนี้เทรนด์การตลาดออนไลน์และพฤติกรรมผู้บริโภคในประเทศไทยเริ่มให้ความสำคัญกับความเร็ว ความสะดวก และประสบการณ์ใช้งานที่ราบรื่น โดยเฉพาะใน eCommerce ซึ่ง Shopify กลายเป็นที่จับตามองอย่างมาก ขณะที่ WordPress ก็ยังคงได้รับความนิยมจากนักพัฒนาและเจ้าของธุรกิจที่ต้องการความยืดหยุ่นและควบคุมได้เองทั้งหมด

เป็นเรื่องที่ท้าทายไม่น้อยสำหรับ SME ที่กำลังวางแผนสร้างหรือปรับปรุงเว็บไซต์ใหม่ การเปรียบเทียบ WordPress vs Shopify ปี 2025 จึงต้องละเอียดและรอบคอบ เพราะแต่ละระบบมีจุดเด่นเฉพาะตัว และเหมาะกับรูปแบบธุรกิจที่แตกต่างกัน

WordPress คือระบบจัดการเนื้อหา (CMS) ที่มีมานานกว่า 20 ปี และครองสัดส่วนเว็บไซต์ทั่วโลกมากที่สุด จุดเด่นคือความยืดหยุ่นสูง สามารถติดตั้งปลั๊กอินต่างๆ ได้ทั้ง E-commerce, SEO, CRM, หรือแม้แต่ AI Chatbot โดยไม่จำกัดแพลตฟอร์มการใช้งาน นอกจากนี้ยังเป็นโอเพนซอร์สที่ใช้งานฟรี แต่ต้องมีทีมดูแลเซิฟเวอร์หรือใช้บริการ Managed Hosting อย่าง SiteGround หรือ Kinsta เพื่อให้เว็บไซต์มีความเสถียร

ในทางกลับกัน Shopify คือแพลตฟอร์มแบบ SaaS (Software as a Service) ที่เน้นการสร้างร้านค้าออนไลน์โดยเฉพาะ ดีไซน์มาเพื่อให้เจ้าของกิจการสามารถเริ่มขายของได้เร็ว ปลอดภัย ไม่ต้องจัดการเรื่องซับซ้อนอย่าง Hosting หรือปลั๊กอินที่มากเกินไป โดยมีหน้าร้านมาตรฐาน ระบบชำระเงิน และรายงานการขายครบเครื่อง

เปรียบเทียบฟีเจอร์สำคัญระหว่าง WordPress และ Shopify ปี 2025 แบบเจาะลึก

1. ด้านดีไซน์และการปรับแต่ง
– WordPress: มีธีมให้เลือกหลากหลายกว่า 10,000 แบบ ปรับแต่งได้ละเอียดทั้ง HTML, CSS, PHP เหมาะกับสายออกแบบมืออาชีพ
– Shopify: มีธีมกว่า 100 แบบให้เลือก โดยส่วนใหญ่เหมาะกับร้านค้าออนไลน์ แก้ไขได้ในระดับหนึ่งผ่าน Liquid Code หรือใช้งานสำเร็จรูป

2. ระบบชำระเงิน
– WordPress: ต้องติดตั้งปลั๊กอินอย่าง WooCommerce รองรับหลากหลายช่องทาง แต่ต้องตั้งค่าด้วยตัวเอง เช่น Thai QR Payment, Omise หรือ SCB Easy
– Shopify: มีระบบ Shopify Payments ที่เชื่อมกับ Paxful และ Stripe ได้ทันที พร้อมเชื่อมกับระบบส่งสินค้าไทยเช่น DJ Delivery หรือ SCG Express

3. ด้าน SEO และประสิทธิภาพ
– WordPress: เหมาะกับการทำ SEO อย่างยิ่ง เพราะสามารถติดตั้งปลั๊กอิน Yoast หรือ RankMath ควบคุมโครงสร้างเว็บไซต์ คีย์เวิร์ด และ Schema Markup ได้ดี
– Shopify: แม้จะมีพื้นฐาน SEO ที่ดีมากในตัวระบบ แต่การปรับแต่งขั้นสูงอาจต้องพึ่งแอปเสริม ซึ่งอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

ตัวอย่างธุรกิจจากประเทศไทยที่เลือกใช้แพลตฟอร์มต่างกัน

– ร้านเครื่องสำอางออนไลน์ “มาดามมูน” จากเชียงใหม่ ใช้ Shopify เนื่องจากต้องการเปิดร้านรวดเร็ว มีระบบเช็คพัสดุอัตโนมัติ และสามารถเสียบระบบ Facebook Pixel ได้ทันทีภายใน 2 ชั่วโมงโดยไม่ต้องมีทีม Developer

– บริษัทให้คำปรึกษาด้านสุขภาพ “นภาเฮลท์แคร์” เลือกใช้ WordPress เนื่องจากต้องมีระบบบทความให้ความรู้ ระบบนัดหมายอัตโนมัติ และ CRM พร้อมกันในเว็บไซต์เดียว ทั้งนี้ใช้ปลั๊กอินอย่าง Bookly, Fluent CRM และ Elementor ทำให้ควบคุมได้แบบครบวงจร

ค่าใช้จ่ายระยะยาว เทียบ WordPress vs Shopify ในปี 2025
– WordPress: อาจเริ่มต้นถูก แต่ค่าใช้จ่ายระยะยาวขึ้นอยู่กับปลั๊กอินว่าเลือกฟรีหรือเสียเงิน ค่า Hosting รายปี และค่าจ้าง Developer ในบางกรณี
– Shopify: มีค่าใช้จ่ายรายเดือนแบบตายตัว ตั้งแต่ $39 – $299 (ประมาณ 1,300 – 10,000 บาท) ขึ้นอยู่กับขนาดของธุรกิจ และต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเมื่อใช้ Payment ภายนอก

เทรนด์ใหม่ปี 2025 ที่เจ้าของธุรกิจควรพิจารณา
1. การผสานระบบ AI – Shopify นำหน้าเรื่อง AI Copywriting และ Analytics ในขณะที่ WordPress มีปลั๊กอิน AI แต่อาจต้องตั้งค่าเพิ่ม
2. ความสำคัญของ UX/UI – Shopify มีดีไซน์ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้งานมือถือ ส่วน WordPress ต้องอาศัยธีมที่รองรับ Responsive และอาจต้องทดสอบมากกว่า
3. ความเร็วในการโหลด – Shopify ทำได้ดีมากเพราะเป็น CDN ในตัว ส่วน WordPress ต้องอาศัยปลั๊กอินช่วยเค้นความเร็ว เช่น WP Rocket หรือ LiteSpeed Cache

สรุปคำแนะนำสำหรับเจ้าของกิจการไทยในปี 2025
– ถ้าคุณคือเจ้าของกิจการขนาดเล็กหรือขนาดกลางที่เน้น E-Commerce และไม่มีทีมเทคนิค Shopify อาจเหมาะที่สุด ใช้งานง่าย ไม่ต้องวุ่นวายกับการดูแลระบบ
– ถ้าคุณต้องการเว็บไซต์ที่ปรับแต่งได้สูง เช่น เว็บบริการที่มีระบบจองคิวนัดหมาย เว็บให้ความรู้ หรือเน้น SEO เป็นหลัก WordPress เป็นตัวเลือกที่ยืดหยุ่นกว่า

การตัดสินใจระหว่าง WordPress vs Shopify ปี 2025 จึงไม่ใช่แค่เรื่องราคา หรือเพราะตามกระแส แต่คือการวางรากฐานธุรกิจให้มั่นคงในระยะยาว โดยพิจารณาจากความสามารถของทีม รูปแบบสินค้าเป้าหมาย และกลยุทธ์ทางการตลาด

ถ้ายังไม่แน่ใจไม่เป็นไร ลองเริ่มจากวางแผนด้วยโมเดลธุรกิจ แล้วค่อยหาแพลตฟอร์มที่ตอบโจทย์มากที่สุดก็ยังทัน หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้ได้คำแนะนำที่เหมาะกับธุรกิจเฉพาะตัวของคุณ

หมายเหตุ:
บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ความรู้ในด้านเทคโนโลยีและการตลาดโดย
บริษัท ยีราฟ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้าน IT และ Marketing ที่พร้อมให้คำปรึกษาและวางกลยุทธ์ครบวงจร

ติดต่อเรา:
บริษัท ยีราฟ จำกัด
3803 อาคารคิสมอลล์ ห้องเลขที่ A2-302 ชั้น 3 ถนนพระราม 4
แขวงพระโขนง เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร 10110
โทร: 097-231-2444
Email: [email protected]
ติดต่อเรา

แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม (Reference Links)

Preloader image