เมื่อคำว่า AI หรือปัญญาประดิษฐ์เริ่มเข้ามามีบทบาทสำคัญในแวดวงธุรกิจไทย การนำ AI มาทำงานแทน Marketing ก็กลายเป็นหนึ่งในหัวข้อร้อนที่หลายคนในแวดวงการตลาดจับตามอง โดยเฉพาะในปี 2025 ที่หลายองค์กรเริ่มเร่งปรับตัว ลองจินตนาการว่าคุณเป็นเจ้าของกิจการ SME ขนาดเล็กที่มีพนักงานด้านการตลาดไม่ถึง 3 คน แต่กลับสามารถสร้างแคมเปญออนไลน์ที่ปังไม่แพ้แบรนด์ยักษ์ ด้วยการใช้ AI ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า ออกแบบโพสต์ คำนวณเวลาโพสต์ที่ดีที่สุด ไปจนถึงตอบคอมเมนต์แบบอัตโนมัติ นี่คือโลกจริงในยุคที่ AI กลายเป็นผู้ช่วยทางการตลาดที่ไม่ควรมองข้าม
หนึ่งในเทรนด์ที่เห็นชัดคือการใช้ AI Marketing Tools อย่าง ChatGPT, Jasper, Copy.ai หรือแม้แต่ระบบ CRM อย่าง Salesforce และ HubSpot ที่เริ่มฝังฟังก์ชันอัจฉริยะช่วยวางกลยุทธ์และส่งเสริมการขายแบบอัตโนมัติ ทำให้นักการตลาดไม่ต้องเสียเวลาไปกับงานซ้ำ ๆ อย่างการเขียนอีเมลโปรโมชั่น รายงานผลแคมเปญ หรือการจัดกลุ่มเป้าหมาย
แล้วการนำ AI มาทำงานแทน Marketing จะกลืนกินอาชีพนักการตลาดไหม? คำตอบคือ “ไม่” ถ้าเรารู้จักปรับตัวให้เร็วพอ ลองคิดแบบนี้ – จากเดิมที่ Marketing ต้องใช้คนเขียนคอนเทนต์วันละโพสต์ พอมี AI นักการตลาดสามารถกำหนดแนวทางที่ต้องการ แล้วใช้ AI สร้างโพสต์ให้ได้ 10 ชิ้นในเวลาไม่กี่นาที จากนั้นใช้เวลากับการวางกลยุทธ์ วิเคราะห์ข้อมูล หรือคิดกิจกรรมแคมเปญใหม่แทน
ตัวอย่างจริงในประเทศไทย เช่น ร้านกาแฟเล็ก ๆ ในเชียงใหม่ชื่อว่า “กาแฟบ้านดอย” ที่เริ่มใช้ ChatGPT สร้างแคปชันขายเมนูใหม่ พร้อมออกแบบโปรโมชันโดยอิงจากข้อมูลยอดขายเดิมที่เจ้าของร้านกรอกลง Google Sheet แล้วใช้ Zapier ลิงก์กับ ChatGPT เพื่อแนะนำแคมเปญอัตโนมัติ ผลคือยอดเพิ่มขึ้น 28% ภายในเดือนเดียว หน้าที่ของคนเปลี่ยนจากผู้เขียน มาเป็นผู้กำกับไอเดีย
ข้อมูลจาก Google Trends ปี 2024 ยังยืนยันว่า คำว่า “AI Marketing Tools 2025” มีแนวโน้มพุ่งสูงต่อเนื่อง โดยเฉพาะในหมวด eCommerce และบริการออนไลน์ เนื่องจาก AI ช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กเข้าถึงเทคนิคการตลาดชั้นสูงได้โดยไม่ต้องจ่ายเงินก้อนโตให้เอเจนซี
ในมุมของกลยุทธ์ การนำ AI มาทำงานแทน Marketing ต้องใช้มากกว่าการหาทูลส์ที่ถูก ผู้ประกอบการควรวางแผนล่วงหน้าว่าจะใช้ AI ตอนไหน ตรงไหน เช่นอาจเริ่มที่การสร้าง Content, ต่อไปที่การจัด Segment ลูกค้า, แล้วไปสู่การทำ Personalization ในอีเมลหรือโฆษณา ซึ่งทั้งหมดล้วนต้องมีมนุษย์ช่วยกรองผลลัพธ์และวิเคราะห์เชิงลึก เพื่อให้ AI ไม่คาดเคลื่อน
อีกข้อที่หลายคนมองข้ามคือเรื่องบริบทของภาษาและวัฒนธรรมไทย ปัจจุบัน AI ยังไม่สามารถเข้าใจ Deep Culture หรือบริบทแฝงในภาษาแบบที่นักการตลาดคนไทยเข้าใจ เช่น คำว่า “ปังไม่ไหว” หรือ “พุ่งมากแม่” ในแคปชัน ถ้าใส่ผิดจังหวะ AI อาจพาแคมเปญพังได้เลย สุดท้าย ผู้ประกอบการยังคงต้องมีความเข้าใจใน audience และ storytelling อยู่เสมอ
แม้ว่าการนำ AI มาทำงานแทน Marketing จะให้ประสิทธิภาพสูงขึ้น แต่ยังไม่สามารถทดแทนความคิดสร้างสรรค์และการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าได้ทั้งหมด AI เป็นเหมือนทีมงานเบื้องหลังที่ทำหน้าที่ “เร่งสปีด” ทำให้นักการตลาดมีเวลาคิดใหม่ ทำใหม่ ไม่ต้องจมอยู่กับงานเชิงเทคนิคมากนัก
ในอนาคตเราจะได้เห็นการรวมกันของ Human-AI Marketing ที่สมดุลมากขึ้น โดยเฉพาะกับกิจการ SME ในไทยที่ต้องแข่งขันทั้งราคาและนวัตกรรม การวางแผนเตรียมใช้ AI อย่างถูกวิธีจะช่วยให้ธุรกิจยั่งยืน และสร้างความได้เปรียบทางการตลาดระยะยาว
สรุปแล้ว การนำ AI มาทำงานแทน Marketing ไม่ใช่ภัยคุกคาม แต่เป็นโอกาสที่ทวีความสำคัญ หากผู้ประกอบการไทยเริ่มต้นศึกษาวิธีใช้ AI อย่างเข้าใจ ลองทดสอบกับ Tools ฟรี ปรับกลยุทธ์ให้เหมาะกับธุรกิจ แล้วคุณจะพบว่าการตลาดไม่จำเป็นต้องมีทีมใหญ่ แต่อาจแค่มีกลยุทธ์ที่ “ฉลาด” เท่านั้น
หมายเหตุ
บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ความรู้ในด้านเทคโนโลยีและการตลาดโดย
บริษัท ยีราฟ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้าน IT และ Marketing ที่พร้อมให้คำปรึกษาและวางกลยุทธ์ครบวงจร
ติดต่อเรา
บริษัท ยีราฟ จำกัด
3803 อาคารคิสมอลล์ ห้องเลขที่ A2-302 ชั้น 3 ถนนพระราม 4
แขวงพระโขนง เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร 10110
โทร: 097-231-2444
Email: [email protected]
ติดต่อเรา
แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม (Reference Links)
https://blog.hubspot.com/marketing/ai-marketing
https://www.salesforce.com/blog/what-is-ai-marketing
https://contentmarketinginstitute.com/articles/ai-tools-content-marketing
https://www.wordstream.com/blog/ws/2023/12/05/ai-in-marketing
https://www.semrush.com/blog/ai-marketing-tools/